Wednesday, 8 June 2016

Paa

เราจะให้คุณดูโพสเตอร์ของหนังบอลลีวู้ดเรื่องนึงด้านล่างนี้ก่อนนะ ดูจบแล้วลองทายดูว่าเด็กผู้ชายในหนังอินเดียเรื่องนี้คือดาราอินเดียคนไหน

                                                                                                          Source

ทายออกกันหรือเปล่า คุ้นหน้าคุ้นตาบ้างมั้ย ถ้ายังเดาไม่ถูกเราจะบอกให้ว่าดราที่มารับบท Auro เด็กชายวัย 12 ปีที่ป่วยเป็นโรคโพรจีเรียในหนัง Paa ก็คือดาราอาวุโสที่ชื่อ Amitabh Bachchan นี่เอง เป็นไงละ รู้แล้วทึ่งกันหรือเปล่า เพราะมันไม่ง่ายเลยในการที่เอาคนแก่วัย 60 ปลายๆ (ณ ช่วงเวลาถ่ายทำ) มารับบทเด็กที่เพิ่งเข้าวัยรุ่นแถมป่วยเป็นโรคที่หนักหนาเอาการซะอีกแบบนี้ แล้วยังต้องทำสุ้มเสียงให้ดูเป็นเด็กอีกแต่ก็ต้องดูเป็นเด็กที่ไม่ปกติเหมือนใครๆด้วย มันยากอยู่นะ

Auro
                                                                                                                         Source


ถ้าจะบอกว่า Paa เป็นหนังครอบครัวผสมดราม่าก็คงไม่ผิดนัก หนังพูดถึงชีวิตของเด็กชายวัยรุ่นที่ชื่อ Auro เป็นหลัก เด็กคนนี้ป่วยเป็นโรคโพรจีเรียซึ่งทำให้เขามีสภาพอย่างที่เห็น และสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาคือภายในร่างกายที่ระบบทุกอย่างมันทำงานก่อนวัย แก่กว่าวัย โรคภัยแบบคนวัยชราจะมาเยือนเขาไวกว่าเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน พูดง่ายๆว่าคนที่เป็นโรคนี้อายุไม่ยืนสักคน อยู่ได้ถึงหลักสองกลางๆก็นับว่าเก่งมากแล้วละ แต่ความจริงที่เป็นเกี่ยวกับโรคนี้ก็ไม่ได้ทำให้ Auro เป็นเด็กพิการที่ดูน่าสงสารแต่อย่างใด ลองคิดดูนะเด็กวัยรุ่นที่ปากดีเรียกยายตัวเองว่า bum (bum ในภาษาอังกฤษแปลว่าก้น Auro มองว่าตัวเองมีแม่ - mum แล้ว ยายที่ทำตัวเหมือนแม่คนที่สองจึงกลายเป็น bum ไปโดยปริยาย) นี่จะยังดูเป็นคนน่าสงสารอยู่อีกเหรอ เป็นเด็กแสบชัดๆเจ้า Auro นี่ แต่เจ้าหนูก็รักยายกับแม่มากนะเพราะชีวิตของ Auro โตมาด้วย 4 มือของผู้หญิงสองคนนี้แหละ อ้าวว แล้วพ่อ Auro ละไปไหน ความจริง Auro ก็มีพ่อแหละ ไม่งั้นจะเกิดมาได้ยังไง เพียงแต่ว่า Auro เป็นเด็กที่เกิดจากนักศึกษามหาวิทยาลัยในต่างแดน 2 คนที่ยังไม่พร้อมจะเป็นพ่อแม่คน และด้วยการสื่อสารที่ผิดพลาดและความเข้าใจผิด ทำให้พ่อของ Auro พูดบางสิ่งบางอย่างออกไปให้แม่เข้าใจว่าเขาไม่ต้องการรับเด็กเป็นลูก เธอมองว่าเขาห่วงอนาคตตัวเองมากกว่า นักศึกษารัฐศาสตร์ที่กำลังจะเรียนจบและกลับไปสานต่อเส้นทางการเมืองของครอบครัวจะต้องมาพังเพราะทำแฟนท้อง เขาเลยหวังให้เธอไปเอาเด็กออกสินะ ซึ่งความจริงเขาไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำแบบนั้นเลย ความเข้าใจผิดครั้งนั้นทำให้เธอผิดหวังมาก เธอเลือกที่จะตัดขาดกับเขาแต่เธอก็เด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง นักศึกษาแพทย์คนนี้เลือกที่จะเก็บเด็กไว้และยอมเรียนจบช้าลงอีกนิด และแล้ว Auro ก็ลืมตาดูโลกพร้อมกับโรคโพรจีเรียดังกล่าว โดยที่แม่ก็ไม่ได้ติดต่อกับพ่ออีกเลย Auro จึงใช้ชีวิตที่อินเดียกับแม่และยาย ทั้งสามสู้กับโรคและอาการผิดปกติกันไป

Auro is playing
                                                                                                                         Source

ดราม่าของชีวิตเจ้าหนู Auro ยังไม่จบเพียงเท่านั้น วันดีคืนดีกงล้อแห่งโชคชะตาก็ได้พัดพาให้พ่อของ Auro ที่ ณ ตอนนั้นเป็นนักการเมืองท้องถิ่นมาเจอกับ Auro จนได้ เรื่องของเรื่องคือที่งานโรงเรียนเขาเชิญนักการเมืองคนนี้ไปเป็นประธานเปิด งานและให้มีการเดินชมงานแสดงวิชาการของเด็กนักเรียน เจ้าหนู Auro ก็ส่งงานกับเขาด้วย แต่เป็นงานบ้าๆบอๆจากความขี้เกียจทำงานของตัวเอง คว้าอะไรได้ก็เอามาส่งแบบชุ่ยๆ (เห็นมั้ยว่าชีวิตเจ้าหนูนี่ไม่ได้ดูหดหู่น่าสงสารตรงไหนเลย) แต่คุณพ่อกลับมองว่างานชิ้นนี้ของเด็กคนนี้ช่างเยี่ยมยอดไปเลย เอกมโนโทจิ้นไปเองว่าเด็กเจ้าของชิ้นงานจะต้องวางคอนเส็ปท์อย่างงั้นอย่างงี้ อยากจะพบหน้าค่าตานัก แล้วทั้งสองคนพ่อลูกก็ได้พบหน้ากันโดยที่ต่างคนต่างไม่รู้ว่าคือสายเลือดเดียวกัน หลังจากที่แม่ Auro รู้ว่าพ่อลูกได้พบกันแล้วก็ค่อนข้างช็อคแต่ก็ยังปกปิดความลับนั้นไว้ไม่บอกลูกชาย อาาาาห์ สุดท้ายความลับจะแตกหรือไม่ นักการเมืองหนุ่มไฟแรงจะได้รู้หรือเปล่าว่าตัวเองมีลูกชายที่ไม่ค่อยสมประกอบ เขาจะยอมรับลูกได้มั้ย เจ้าหนู Auro จะรู้สึกอย่างไรที่ได้รู้ว่าคนๆนี้เป็นพ่อตัวเอง อันนี้เราให้ไปติดตามกันในหนังนะ ไม่มีวันยอมสปอยล์เด็ดขาด

Auro and dad
                                                                                                                      Source

สิ่งที่ดีงามสามโลกที่สุดในหนังเรื่องนี้คือการ cast ตัวแสดง กิมมิคแรกคือเอาคนแก่วัย 60 กว่ามาเล่นเป็นเด็กที่ป่วยโรคแปลกๆ มีลักษณะทางกายภาพแปลกๆ ทำให้ต้องแต่งหน้ากันนานมาก ทีมแต่งหน้า effect ทำงานหนักมากที่จะแปลงโฉมปู่อมิตาปให้ออกมาเป็นเด็กโพรจีเรียหัวโตแบบนั้นได้ และปู่เองก็อดทนมากเช่นเดียวกันที่จะต้องนั่งแต่งหน้านานแสนนานแบบนั้นทุกครั้งที่เข้าฉาก ทีมแต่งหน้านี่ได้ทีมจาก Tinsley Studio ที่มีผลงานหนังฝรั่งดังๆเยอะแยะมาทำให้เลยเชียวนะ เรื่องการแสดงของปู่ไม่ต้องพูดถึง สบายหายห่วง เราว่ายิ่งปู่แก่ขึ้นก็ยิ่งเล่นหนังดีขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน ดีกว่าตอนหนุ่มๆยุค Sholay หลายเท่าอะบอกตรงๆ กิมมิคที่สองคือเอาคนที่เป็นลูกในชีวิตจริงมาเล่นเป็นพ่อในหนัง ก็คือเอา Abhishek Bachchan ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของปู่แกเองมารับบทเป็นพ่อของเจ้าหนู Auro ในเรื่อง ดูแล้วเฮ้ย มันได้ มันใช่ น่ารักมากๆตอนที่สองพ่อลูกเต้นท่าลิงกังด้วยกัน ดูแล้วอบอุ่นในหัวใจเป็นบ้า ส่วนตัวชอบที่ Abhishek ได้เล่นบทดราม่าแบบนี้มากกว่านะ ปกติฮีจะรับเล่นหนังบู๊แอ็คชั่น ไม่ก็ตลกบ๊องไร้สาระ ซึ่งเราดูแล้วเบื่อมาก มาเล่นดราม่าแบบนี้ดีกว่าเยอะและจะได้พัฒนาฝีมือดีกว่าด้วย บทบาทของคุณแม่ Auro ก็ได้ Vidya Balan มารับไป เธอสวยแต่ไม่สวยเวอร์เกิน ดูเป็นคนฉลาดมีการศึกษาสมกับบทนักศึกษาแพทย์และหมอ เธอดูแกร่งและเข้มแข็งพอที่จะเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ลูกป่วยเป็นโรคแปลกๆด้วย

Auro's family
                                                                                                                         Source

อีกจุดนึงที่ชอบคือบทพูดในเรื่อง อาจจะเป็นจุดเล็กๆที่ไม่เป็นประเด็นสำคัญแต่เราชอบมากๆ มันเป็นตอนที่แม่ของ Auro รู้ว่าตัวเองท้องและไปสารภาพกับแม่ตัวเอง แม่ไม่ดุด่าว่ากล่าวหรือตบตีสักคำ สิ่งที่เธอทำคือถามว่าหนูจะเอายังไง จะเอาออกหรือเอาไว้แล้วแต่ลูกเลย ไม่ว่าจะตัดสินใจยังไงแม่คนนี้พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ เราจะผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกัน เราชอบบทตรงนี้มาก แม่ทุกคนควรจะเป็นให้ได้อย่างนี้เวลาที่ลูกสาวมาบอกว่าท้องทั้งๆที่ยังเรียนไม่จบ การโวยวาย ดุด่า ตบตี มันไม่ได้ช่วยอะไร รังแต่จะสร้างบาดแผลในใจและความร้านฉานเปล่าๆ ยายของ Auro ทำถูกแล้วละ

Auro's dad
                                                                                                                         Source

หนังยังเอาเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองมาใส่ไว้ในเรื่องด้วยเพื่อถ่วงดุลน้ำหนักไม่ให้มันเศร้าหรือดราม่าครอบครัวจนเกินไป เราว่าตรงนี้เขาตัดสินใจถูกนะ มันทำให้เปลี่ยนอารมณ์ได้ดี และยังทำให้คนดูได้เห็นถึงชีวิตของพ่อ Auro ในความเป็นคนๆนึงด้วยว่าเขาเป็นคนแบบไหน มีวิธีการทำงานยังไง เป็นคนดีหรือไม่ดียังไงก็แล้วแต่คนดูจะตัดสินเอาจากซีนพวกนี้

                                                                                                                         Source

นอกจากข้อเสียข้อติที่เราไม่อาจหาได้อย่างชัดเจนแล้ว Paa ยังทำเราเสียน้ำตาตอน end credit อีกจ้า มันจะมีเพลงประกอบเพลงนึงที่เราไม่แน่ใจว่าเขาให้ปู่ร้องเองหรือเปล่า แต่เสียงมันก็คล้ายๆเสียง Auro ในเรื่องอยู่แหละนะ (แต่ก็ไม่แน่ใจอีกว่าปู่จะพากย์เสียงเอง เพราะเสียงจริงปู่ทุ้มใหญ่แต่เด็ก Auro เสียงหนีบๆ) เป็นเพลงที่ร้องให้พ่อ (paa แปลว่าพ่อ) เราดูแบบมีซับอังกฤษ ความหมายของเพลงและเสียงร้องสั่นๆของเด็กที่ป่วยเป็นโพรจีเรียมันทำให้น้ำตาเราไหลออกมาเองโดยไม่รู้ตัวเลย

สำหรับเรา Paa คือหนังอินเดียที่ดีมากอีกเรื่องนึงแต่กลับไม่ค่อยมีใครพูดถึงหรือหยิบยกเอามาแนะนำกัน เรานี่แหละเลือกที่จะหยิบมาพูดถึงในวันนี้ เพราะมันเป็นหนังที่ดูแล้วอบอุ่นหัวใจ ลุ้น และเอาใจช่วยไปกับความแสบๆคันๆของเจ้าหนู Auro และทิ้งท้ายด้วยคราบน้ำตาจางๆหลังหนังจบ




Location: Bangkok, Thailand

2 comments:

  1. ดูเเล้วขำยังไงก็ไม่รู้ลูกเขยตัวเองมาเล่นเป็นพ่อตัวเอง 555+++ ไม่รู้ตาอมิตาปจะรู้สึกยังไง

    ReplyDelete
    Replies
    1. ลูกชายในไส้น่อ ไม่ใช่ลูกเขย

      Delete

แสดงความเห็น แนะนำ ติชม เข้ามาได้ตามสะดวกนะ