ถ้าเราจะพูดถึงหนังอินเดียยุคใหม่ที่เคยได้มีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาหนังภาษาต่างประเทศแล้วละก็ ยังไงก็ต้องนึกถึง Barfi
เป็นเรื่องแรกเลย
และไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหนังอินเดียอีกเรื่องที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมากในหมู่คนไทยที่ไม่ใช่แฟนหนังอินเดียแต่แรกเริ่มด้วย
Barfi เป็นหนังบอลลีวู้ดที่ว่าด้วยเรื่องราวความรักในยุค 70 ของชายใบ้จอมทะเล้นกับหญิงสาวสวยลูกคุณหนูและสาวเอ๋ออีกหนึ่งนาง เรารู้ว่าหลายๆคนประทับใจกับวิวสวยๆของดาร์จีลิ่ง ประทับใจกับเพลงประกอบที่สวยงาม รวมทั้งประทับใจกับความรักของหนุ่มใบ้และสาวเอ๋อด้วย
เรื่องมันมีอยู่ว่า Shruti ที่รับบทโดย Illeana D'Cruz ได้ย้ายตามพ่อแม่ไปที่ดาร์จีลิ่งและได้พบกับหนุ่มใบ้จอมทะเล้นเจ้าถิ่นที่ชื่อ Barfi รับบทโดย Ranbir Kapoor ทั้งสองคนพบกันและ Barfi ก็ตกหลุมรัก Shruti ตั้งแต่แรกเห็น พยายามจีบอยู่สักพักสาวเจ้าก็มีใจ แต่ด้วยความที่เป็นใบ้ทางครอบครัวฝ่ายหญิงเลยไม่ยอมรับและจริงๆแล้วฝ่ายหญิงมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่ก่อนแล้วด้วย ในเมื่อครอบครัวไม่ยอมรับและ Barfi ก็ทำอะไรไม่ได้ Shruti จึงตกลงแต่งงานไปตามกำหนดเดิมและย้ายเมืองไปใช้ชีวิตกับสามี
Source
จากนั้น Jhilmil สาวเอ๋อที่รับบทโดย Priyanka Chopra ก็กลับเข้ามาในชีวิตของ Barfi อีกครั้ง คล้ายๆว่าจะเป็นเด็กที่โตมาด้วยกันนี่แหละทำให้เกิดความผูกพันหรือยังไงไม่ทราบได้ สักพัก Barfi ไปทำผิดอะไรสักอย่างในเมืองที่ Shruti ย้ายไปอยู่ เธอจึงช่วยเป็นพยานให้และพยายามจะประกันตัวเขาออกมา เธอไม่เคยลืมหนุ่มใบ้ที่เธอรักเลย เขาเองก็เหมือนจะตื่นเต้นดีใจได้สักพัก ทั้งคู่จึงตัดสินใจใช้ชีวิตด้วยกัน แต่สุดท้ายสาวเอ๋ออย่าง Jhilmil ก็เข้ามาแทรก จน Shruti ค่อยๆรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินเข้าไปทุกขณะ และลงท้ายที่หนุ่มใบ้กับสาวเอ๋อแต่งงานกัน
ขอชมก่อนเลยเพราะเดี๋ยวจะบ่นอีกยาว การแสดงของทุกคนเยี่ยมมาก
การที่คนปกติจะเล่นเป็นคนพิการไม่ว่าในรูปแบบใดๆนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยเฉพาะ Priyanka ที่ปกติเป็นถึงนางงามโลกแต่ต้องมาเล่นเป็นคนเอ๋อ
ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม กิริยาท่าทางต้องเอ๋อให้หมด ดูไม่จืดเลยละ
ถ้าให้พูดตรงๆแรงๆตามสไตล์เราก็คือดูแล้วอนาถลูกตา
ยอมรับเลยว่าตอนดูหนังเรื่องนี้ฉากที่เธอโผล่มาเราไม่ค่อยกล้ามองเต็มตาเท่าไหร่ รับไม่ค่อยได้ ซึ่งนับว่าเธอตีบทแตกเลยนะ Ranbir เองก็เจ๋งไม่แพ้กัน
นี่เป็นหนังเรื่องแรกของเขาที่เราดู เราทึ่งนะ
รู้สึกว่าพระเอกคนนี้มีฝีมือมาก
เล่นเป็นคนใบ้แต่ทะเล้นได้อย่างน่ารักน่าหยิกเป็นบ้า จุดเด่นของการแสดงจึงอยู่ที่ความเป็นหนังเงียบถึง 80% นอกนั้นบทพูดจะมีก็ที่บทของ Shruti และตัวประกอบคนอื่นๆซะมากกว่า ในส่วนของ Illeana
เองก็สวยหยดสะกดสายตาเรามากๆ
เห็นฉากแรกที่เธอโผล่มาเราก็ตกหลุมรักเธอไปพร้อมๆกับพระเอกเลยละ
ผิวเข้มนิดๆ ผอม ตาคม สวยบาดใจที่สุด
อีกจุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือวิว ดาร์จีลิ่งเป็นเมืองที่สวยงามมาก
รู้สึกถึงอากาศหนาวๆเย็นๆคลออยู่ตลอดเวลา
อยากออกไปขี่รถเล่นแบบพวกเขาบ้างจัง เพลงประกอบก็ทำได้ดีมาก
สมกับอินเดียในยุค 70 เป็นอย่างมาก
แม้ว่าเราจะเกิดไม่ทันยุคนั้นและไม่ใช่คนอินเดียแต่ดนตรีที่เลือกใช้มันมีความสากล ไม่ได้ฟังเป็นอินเดี๊ยอินเดียจนคนรุ่นใหม่อาจจะรู้สึกผงะได้
เสื้อผ้า หน้าผมก็เซ็ทออกมาได้ดี ดูย้อนยุคสมจริงสมจังดีและเหมาะกับบุคลิกของตัวละครด้วย
แต่เชื่อมั้ยว่าเราไม่ชอบพล็อตเรื่องเลย
ใครๆเขาดูแล้วชอบกันแต่เรากลับรู้สึกแย่
เหมือนเรารับไม่ได้อะที่สุดท้ายคนสวยแพ้ยัยเอ๋อ
พระเอกนั้นถึงจะเป็นคนใบ้แต่ก็แค่ใบ้มั้ยอะ
ทำไมถึงต้องเลือกคนที่พิการหนักกว่าตัวเองด้วย
ชีวิตจะเป็นไปยังไงนึกไม่ออกเลย
เห็นทุกอย่างมันเป็นแบบนั้นแล้วเราหงุดหงิดบอกไม่ถูก เรารู้สึกว่า Shruti
รัก Barfi จริงๆแต่ Barfi น่ะแค่หลงรูปเธอเท่านั้น
สุดท้ายก็เลือกรักสาวเอ๋อแทนด้วยความผูกพันหรืออะไรก็ไม่รู้ เราเดาไม่ถูก
อาจเพราะเคยโตมาด้วยกันหรือเพราะเข้าใจในความขาดความพิการของกันและกันงั้นเหรอ
ดูแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนใจโฉดใจร้ายมากเลยมีอาการที่ไม่พอใจที่สาวเอ๋อปาดหน้าเค้กสาวสวยไปได้ บางทีก็ย้อนมองตัวเองนะ
คนเป็นเอ๋อไม่มีสิทธิ์มีคู่รักหรือมีความรักเหรอ
คนที่พิการน้อยกว่าไม่มีสิทธิ์เลือกเอาคนที่พิการมากกว่ามาเป็นผัว/เมียงั้นเหรอ มันก็ไม่ใช่ แล้วทำไมเราถึงรู้สึกว่านางเอกคนสวยเป็นผู้แพ้
ทำไมเราถึงใจร้ายมองว่าพระเอกมีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้วทำไมยูไม่เลือก
ความรักและชีวิตคู่จำเป็นที่จะต้องสื่อสารกันรู้เรื่องจริงๆน่ะเหรอ
ต้องสามารถคุยเมาท์ ถกเถียง
แลกเปลี่ยนทัศนคติต่อเรื่องต่างๆกันได้อย่างเข้าใจเท่านั้นเหรอ
คนใบ้คนนึงกับคนเอ๋ออีกคนสื่อสารกันลำบากก็อยู่ไปแบบรอวันแก่เน่าตายไปเองสิ
แบบนั้นน่ะเหรอที่เราต้องการให้เป็น
ความรักและชีวิตคู่น่ะให้คนที่เขาสามารถสื่อสารส่งภาษากันเข้าใจได้เขามีกันเถอะวะ ใครทำไม่ได้ก็อย่ามีมันเลยชีวิตคู่น่ะ
เราเป็นคนใจแคบที่มองความรักด้วยแง่มุมเดียวแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ
แม้เราจะไม่ชอบพล็อตของหนังอย่างมาก
มากซะจนไม่อาจจะพูดว่าชอบหนังเรื่องนี้ได้เต็มปาก
แต่เรากลับชอบที่พล็อตของหนังเรื่องนี้สื่อถึงชีวิตอันไม่สมบูรณ์แบบจนทำให้เราต้องย้อนมองตัวเองและตั้งคำถามกับความคิดจิตใจของตัวเองมากขึ้น
แม้ว่าเนื้อเรื่องจะขัดใจเราเป็นที่สุด
แต่คุณค่าบางอย่างของหนังกลับทำงานต่อจิตใจของเราอย่างน่าประหลาด
กลายเป็นว่ามันช่วยบำบัดและเยียวยาความคิดบิดๆเบี้ยวๆที่มองความรักด้านเดียว
มองความรักจากมุมมองของตัวเองที่คิดว่าแบบนี้แหละคือความรักที่ทุกคนควรจะมีควรจะเป็นหรือน่าจะต้องอยากมีและอยากเป็นแบบนั้น
โดยที่เราลืมไปว่าความเพอร์เฟ็คท์ของเราไม่ใช่ความเพอร์เฟ็คท์ของใครๆ
และความเพอร์เฟ็คท์ของแต่ละคนนั้นย่อมไม่มีวันจะเหมือนกันด้วย
พระเอกเค้าก็พิสูจรักกับshrutiแล้วไง ตอนที่พระเอกตัดเสาไฟฟ้าแล้วไปยืนตรงเสาไฟพอเสาไฟฟ้าใกล้ล้มshrutiสะบัดมือแล้ววิ่งออกไป แต่กับนางเองนางเอกยืนจับมือกับพระเอกพอเสาไฟฟ้าล้มนางเอกก็ยังยืนอยู่กับพระเอกโดยไม่หลบ เราคิดว่าเพราะแบบนี้พนะเอกถึงเลือกนางเอก ไม่รู้เราเค้าใจผิดหรือเปล่านะ พอดีเราไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษด้วย ดูซับอังกฤษเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
ReplyDeleteโอ๊ยยย อ่านแล้วยิ่งรู้สึกตัวเองเป็นคนในร้ายใจดำเลยอ่า เหมือนเรามองโลกโหดๆยังไงชอบกล เรื่องตัดเสาไฟเนี่ยเรากลับรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้มีแต่คนเป็นพ่อแม่ลูกกันเท่านั้นที่จะไม่สะบัดมือหนี สาวเอ๋อนั่นถ้าปกติดีๆแบบคนทั่วไปจะทำแบบที่ทำรึเปล่าเหอะ แบบว่าเพราะเป็นเอ๋อหรือเปล่าเลยไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแบบคนทั่วไป (สะบัดหนี) ซึ่งคนทั่วไปเขาไม่เป็นกันแบบนั้น ความเอ๋อนั่นอาจจะทำให้ไม่เข้าใจถึงความอันตรายหรือไม่อันตรายของสิ่งต่างๆรอบตัวก็ได้ น้ำหนักตรงนี้มันไม่เท่ากัน ไม่ใช่คนสติสัมปชัญญะดีๆทั้งสองคนมาเทียบกัน เราเลยมองว่าไม่อาจจะเอามาสรุปได้ว่าใครทำแบบไหนคือรักจริงหรือไม่จริง
Deleteยอมรับว่าตอนดูหงุดหงิดใจกับเนื้อเรื่องมาก แต่สิ่งที่หนังทิ้งไว้หลังจากจบไปแล้วมันอิมแพ็คเราจริงๆนะ มันทำให้เราได้คิดว่าความเพอร์เฟ็คที่เรามองเห็นและคิดว่าใครๆน่าจะต้องการ แต่หลายๆคนอาจจะไม่ได้รู้สึกว่ามันดีแบบเรารู้สึกก็ได้ มันเตือนความคิดเราได้เยอะมากเลยละหนังเรื่องนี้