Monday, 2 May 2016

Ki & Ka

 
อย่างที่เรามักจะชอบพูดไว้เสมอว่าเราติดใจหนังอินเดียตรงที่หนังอินเดียมักมีประเด็นในการนำเสนอที่ไม่เหมือนใคร หลายๆครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หรือเรื่องใหญ่อะไรเลย ตรงกันข้ามกลับเป็นประเด็นง่ายๆใกล้ๆตัวที่มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวันของเราทุกคนแต่เราไม่เคยสังเกตหรือจับเอามันมาขบคิด ในครั้งนี้ก็เหมือนกัน เมื่อวันที่ 1 เมษาที่ผ่านมาเราได้ไปดู Ki & Ka หนังที่นำแสดงโดย Arjun Kapoor และ Kareena Kapoor Khan มา ไปดูในวันแรกและรอบแรกที่หนังเข้าเลยนะเพราะเป็นหนังที่อยากดูมากๆ เนื้อหาของหนังจับเอาประเด็นของบทบาทคู่รักหญิงชายตามที่สังคมคาดหวังมานำเสนอ แต่เลือกที่จะเสนอในมุมกลับว่าถ้าหากบทบาทและหน้าที่ของคู่รักหญิงชายสักคู่ มันตรงกันข้ามกับความคาดหวังของผู้คนในสังคมละ มันจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง

                                                                  Source


เริ่มเรื่องที่ทั้งพระเอกนางเอกของเราพบกันบนเครื่องบิน ทั้งสองคนดูจะปิ๊งๆกันแต่แรกแล้วมั้งแต่นางเอกไม่ยอมรับ บอกแค่ว่ารู้สึกพระเอกเป็นคนแปลกๆดีเลยอยากจะติดตามต่อว่าจะเป็นคนแบบไหน ติดตามกันไปมาเลยรู้ว่าพระเอกไม่ชอบที่จะออกไปทำงานนอกบ้าน มีความฝันอยากเป็นแบบแม่ของตัวเองคือเป็นพ่อบ้านอยู่กับบ้าน ดูแลบ้านและอาหารการกินในขณะที่เมียออกไปทำงาน ส่วนนางเอกเองก็ทำงานฝ่ายการตลาดและกำลังรุ่งซะด้วย พระเอกเลยรู้สึกว่าเราสองคนช่างเหมาะเจาะกันก็เลยขอแต่งงานมันซะเลย พอแต่งไปแล้วทั้งคู่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่มันเกิดจากความคาดหวังของสังคมที่มีต่อบทบาทของชายหญิงในชีวิตคู่ ทั้งคำถามความสงสัยล้วนแต่ประดังประเดกันเข้ามา นอกจากนี้เมื่อฝ่ายชายเริ่มมีความป็อบปูล่าร์มากขึ้น ความรู้สึกฝ่ายหญิงที่เหมือนจะเป็นช้างเท้าหน้ามาตลอดก็เริ่มมีอาการสั่นคลอนให้เห็น ซึ่งทั้งสองคนก็ต้องจัดการกับปัญหาเหล่านี้ไปตามเรื่องตามราว

                                                                         Source
ที่อยากจะชมออกนอกหน้ามากๆเลยก็คือการ cast ตัวแสดง กับบทผู้ชายวัย 30 โดยประมาณที่ไม่มีความทะเยอทะยานในการมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตนอกบ้านแต่กลับมีใจฝักใฝ่ยกย่องการเป็นแม่บ้านที่อยู่แต่กับบ้านเพื่อดูแลบ้านหุงหาอาหาร บทนี้ในบรรดาดาราบอลลีวู้ดชายวัยไล่เลี่ยกันกับบทเรายังไม่เห็นใครที่จะเหมาะไปกว่าหมีชุน (ติ่งอินเดียเรานิยมเรียก Arjun Kapoor แบบนี้จ้ะ) อีกแล้ว คือมันใช่มากๆอะ บทนี้ไม่สามารถจะเป็นของคนอื่นไปได้เลยจริงๆ นึกไม่ออกว่าถ้าเอาคนอื่นมาเล่นมันจะออกมาแบบไหน ต้องหมีชุนคนเดียวเท่านั้นเลย ในส่วนของ Kareena นั้นตอนแรกเราออกจะตกใจอยู่หน่อยๆที่มีข่าวว่าสองคนนี้รับเล่นหนังคู่กัน ด้วยอายุจริงของนางที่แก่กว่าหมีชุนหลายปีอยู่ 5-7 ปีนี่ละจำไม่แม่น เราเลยกลัวว่ามันจะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ๊กินเด็กหรือเปล่า ถ้าประเด็นหนังเองมันว่าด้วยความเป็นเจ๊กินเด็กก็แล้วไป ถือว่า cast มาได้ปังจริงๆ แต่เอาจริงก็ไม่ขนาดนั้น ตามบทแล้วนางเอกแก่กว่าพระเอกแค่ 2 ปี แต่ที่ยังทำให้เราชอบได้มากคือคาแร็คเตอร์ของนางเอกที่เป็นสาวบ้างาน ไม่ได้สนใจความรักและการสร้างครอบครัวเท่าไหร่ นางอาการหนักขนาดที่มองว่าการท้องคือชีวิตพัง หน้าที่การงานที่เพียรสร้างมาจะจบสิ้นเพราะท้องเด็กแค่คนเดียว (ดูตอนแรกก็สะพรึงมาก คือตัวเราเองไม่คิดมีลูกนะยังตกใจกับรีแอ็คชั่นนางเอกตอนคิดว่าท้องได้มากมาย) เราไม่คิดว่าดาราหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันนี้จะมีใครเหมาะสมกว่าบทมากไปกว่า Kareena อีกแล้ว ทั้งพระเอกนางเอกคือใช่มาก

                                                                                         Source

อีกจุดที่ชอบเลยคือการแทรกเอาความเป็นไปในโลกปัจจุบันเข้าไปใส่ในหนังได้ดี ตัวอย่างก็เช่นการที่พระเอกกับนางเอกเลือกที่จะมีชีวิตคู่แบบสลับบทบาทหญิงชายจากความคาดหวังของสังคม มันเลยทำให้อยู่ๆฝ่ายชายเป็นที่ป็อบปูล่าร์ขึ้นมาหลังจากข่าวแพร่สะพัดออกไป จนทำให้เขาได้รับเชิญไปพูดในงาน Ted Talk รวมทั้งได้งานพิธีกรรายการทำอาหารและได้เป็นพรีเซนเตอร์น้ำมันพืช ส่วนแม่นางเอกทำงานในองค์กรอิสระอะไรสักอย่างที่เคลื่อนไหวในสังคม แถมขุ่นแม่ยังบอกนางเอกด้วยว่าต้องมีเซ็กซ์ก่อนที่จะแต่งงานนะ โหววว ขุ่นแม่เริ่ด ถึงไอ้เนื้อเรื่องส่วนนี้จะไม่ใช่อะไรที่เป็นประเด็นมากมายเท่าไหร่แต่เรา รู้สึกว่ามันสมจริงสมจังที่จะเป็นส่วนเติมเต็มดีอะ รู้สึกมันเป็นการเสริมเสน่ห์ให้หนังอย่างบอกไม่ถูก รวมทั้งมุกตลกเกี่ยวกับเรื่องบนเตียงด้วย ปกติพอฝ่ายชายเริ่มมูฟเข้ามาใกล้ๆเป็นสัญญาณ ฝ่ายหญิงก็จะแกล้งบ่นปวดหัวนั่นนี่อิดออด ในหนังนี่กลับกันเลยจ้า คุณนางเอกมาตุแง้วๆใส่พระเอกของเราก่อน แล้วฮีก็บ่นว่าปวดหัวนั่นนี่ เฮ้ย มันน่ารักไปอีกแบบอะ ดูแล้วอมยิ้มได้เลย อ้อๆ แล้วเพลงปิดท้ายมีให้หมีชุนใส่รองเท้าส้นสูงสีแดงด้วยนะ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ารองเท้าส้นสูงคือสัญลักษณ์แห่งความเฟมินีน แถมสีแดงสดเข้าไปอีก นับถือฮีมากที่กล้าใส่ แถมใส่เต้นด้วย บอกได้คำเดียวว่า "น่ารักอะ"

                                                                                         Source

แต่สิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้คงหนีไม่พ้นบท หลายๆคนอาจจะรู้สึกว่ามันธรรมดานะกับการที่ชีวิตคู่ของชายหญิงคู่นึงจะมีฝ่ายหญิงที่ออกไปทำงานหาเงินส่วนฝ่ายชายอยู่บ้านดูแลบ้านและลูก แต่เอาจริงๆแล้วเราไม่ค่อยรู้กันหรอกว่าคนคู่นั้นเขาจะต้องผ่านความกดดันที่มาจากความคาดหวังของสังคมยังไงบ้าง เกาะผู้หญิงกิน? แมงดา? ไม่มีน้ำยาหาเลี้ยง? ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหน้า? ผู้หญิงอวดเบ่งวางอำนาจ? คำถามที่ยิงมายังคนทั้งคู่ยังมีได้อีกร้อยแปดเลยนะ แต่เรามักจะลืมกันไปว่าคู่ที่มีแบบแผนที่แตกต่างออกไปเขาอาจจะต้องเผชิญกับสิ่งนี้ และพวกเราบางคนนี่แหละก็เคยตั้งคำถามในใจเบาๆเหมือนกัน (บางคนก็ไม่เบาเพราะเล่นจับกลุ่มเมาท์กันเป็นทีมเลยคร่าบ) เวลาที่เราเห็นคู่รักที่เป็นแบบในเรื่องนี้ หนังเลือกที่จะตอกย้ำประเด็นที่ว่าสังคมจะไม่ค่อยยอมรับและตั้งคำถามกับผู้ชายที่ไม่อยากจะมีชีวิตการทำงานนอกบ้านโดยการให้พ่อของพระเอกเป็นคนก่นด่าลูกชายเสียเอง ตัวพ่อนี่ด่าถึงขนาดที่ว่าให้ก้มดูที่หว่างขาสิว่ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า เฮ้ย มันแรงมากเลยนะ ลำพังคนในสังคมจะติฉินนินทายังไงว่าเกาะเมียกินหรือไม่มีน้ำยาหาเงินก็แล้วไปเถอะ ยังไงมันก็คนอื่น แต่นี่พ่อตัวเองเลยนะถามลูกชายแบบนี้ แสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่ประเด็นเล็กๆเลย ลองคิดถึงเป็นตัวเองดูก็ได้ อ้ะ ถ้าคุณเป็นผู้หญิงแล้วมีแฟนที่เป็นแบบพระเอกในเรื่องนี้เด๊ะ (ฮีจบ mba ด้วยซ้ำนะแต่พอใจที่จะเป็นแม่บ้าน เอ้ย พ่อบ้าน) คุณจะอธิบายพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ฝ่ายคุณยังไง ไหนจะเพื่อนๆอีก แฟนเพื่อนในกลุ่มเป็นนี่เป็นนั่น แฟนอินั่นจะเรียนโรงเรียนเสธ. แฟนอิโน่นเป็นอาร์ทไดเร็คเตอร์ แฟนอินู่นเป็นที่ปรึกษากฎหมาย แฟนอี...เปิดร้านชาบูแถวซอยอารีย์ ส่วนแฟนฉันพอใจจะเป็นพ่อบ้าน คุณจะสามารถพูดบอกใครต่อใครเหมือนแม่งไม่มีอะไรเลยได้จริงๆน่ะเหรอ อ้ะ ส่วนถ้าคุณเป็นผู้ชายที่คิดเหมือนอิตาพระเอกนี่ คุณจะกล้าขอผู้หญิงแต่งงานมั้ย จะบอกพ่อแม่ฝ่ายหญิงยังไงว่าแต่งไปแล้วลูกสาวคุณหาเงินเข้าบ้านเป็นหลักนะฮะ ส่วนตัวผมนั้นจะอยู่บ้านปัดกวาดเช็ดถู ทำกับข้าวอร่อยๆไว้คอยท่าคุณเธอหลังเลิกงาน คุณกล้ายืดอกบอกจริงๆเลยหรือเปล่า เราพนันได้เลยว่าไม่มีใครสามารถพูดเรื่องนี้ออกไปได้อย่างราบรื่นเหมือนไม่มีอะไรแน่นอน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะค่านิยมและความคาดหวังของสังคมที่มีต่อบทบาทหน้าที่ของหญิงและชายในชีวิตคู่มันกดทับพวกเราเอาไว้มานาน นานมากจนเรารู้สึกว่ามันเป็นปัญหาถ้าเราเลือกจะทำในทางตรงกันข้าม หนังนำเสนอประเด็นนี้ได้เป๊ะๆแบบตีแสกหน้าเลย หนังพยายามบอกกับคนดูว่าสิ่งที่คู่รักต้องเผชิญจากผู้คนรอบข้างหากจะเลือกมีชีวิตแบบนี้ยังไม่สำคัญเท่าความภูมิใจที่มีในตัวกันและกัน แม้ว่าฝ่ายหนึ่งจะหาเงินได้มากกว่าขณะที่ฝ่ายหนึ่งทำงานบ้านและกับข้าวอยู่ที่บ้านทุกวันก็ตาม

                                                         Source

เหมือนจะชมมากเลยใช่มั้ย แน่นอนว่าข้อเสียก็มี เราว่าพระเอกกับนางเอกดูรักกันง่ายไป นับจากที่เจอกันไปถึงตอนแต่งงานมันเหมือนใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปีอะ คือถ้าเป็น arranged marriage จะไม่แปลกใจเลยไง แต่นี่ก็เลือกเองรักเอง แต่เฮ้ย รักกันไวไปมั้ย คิดว่าพร้อมแล้วเหรอกับคนๆนี้ ถ้าหนังจะทำแบบโง่ๆเลยโดยการขึ้น caption ว่าผ่านไปแล้ว .... เดือน หรือเวลาผ่านไป 1 ปี มันจะดูดีกว่านี้มากแม้จะเป็นวิธีที่อีเดียทพอสมควรก็ตาม อีกจุดนึงที่จะติก็คือการ tie-in สินค้า ไอ้สกูตเตอร์ไฟฟ้าตอนนี้คงฮิตมากในอินเดียแหละมั้ง แล้วอิแบรนด์นี้คงเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ หนังเลยใส่บทว่าลุงของพระเอกให้เป็นของขวัญ ฮีเลยพามันติดตัวไปใช้ด้วยทุกที่ ตอนเครียดก็ขับออกมาเพื่อขี่วนไปวนมาในลักษณะเดียวกับเวลาคนเครียดแล้วเดินวนไปวนมาน่ะ คือดูแล้วมันแบบ เฮ่ย มึงไม่ต้องใส่อีสกูตเตอร์มาในหนังมากขนาดนี้ก็ได้มั้ง มันเห็นเยอะมาก รู้สึกว่าน่าจะล้างสมองให้คนอยากได้ตามได้ผลจริงๆเลยอะ ถ้าราคามันพอๆกับไอโฟนนี่คนคงซื้อกันเยอะแล้วหลังจากดูหนังนี่จบ

                                                                                         Source

ขอวกกลับมาที่หมีชุนนิดนึงนะ ส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้เป็นการแสดงของฮีที่เราชอบที่สุดแล้วอะ (ก่อนหน้านี้จะเป็นจากเรื่อง 2 States) เรารู้สึกมาตลอดว่าเขาไม่ใช่คนมีฝีมืออะไรมากมายแต่ก็ไม่ถึงกับกากจนต้องด่าบ่อยๆ แค่คิดว่าเขายังหาสไตล์ที่ชัดเจนของตัวเองไม่เจอมากกว่า จะบู๊ไปเลยก็ไม่ใช่ ไม่ได้บู๊เก่งน่าประทับใจอะไรขนาดนั้น จะเป็นพระเอกนักรักเล่นหนังรักหวานๆก็ยังไม่อิน หรือจะฮาจะตลกตลอดเวก็ยังไม่ได้อีก อาจจะเพราะความที่เราอินมากกับหนังเรื่องนี้หรือเปล่าไม่รู้ เราคิดว่าบทที่หมีชุนเหมาะมากต้องประมาณนี้ละ ไม่บู๊ ไม่ฮาก๊าก แต่เป็นพระเอกที่ถ่ายทอดความเป็นผู้ชายแห่งยุค post modern ได้ดี (post modern คืออะไรตามไปดูได้ที่นี่) ผู้ชายแบบที่กล้าจะทำอะไรที่แหวกขนบหรือฉีกแบบแผนเหมือนกับบทใน Ki & Ka นี่แหละ ไม่ใช่ผู้ชายที่บู๊แหลกแมนถึกแบบยุคบอลลีวู้ดเฟื่องฟู แล้วก็ไม่ใช่ผู้ชายนักรักอย่างในหนังยุค 90 ด้วยเหมือนกัน บทบาทประมาณคนหนุ่มไฟแรงที่ทำ start up แล้วประสบปัญหาเพื่อนหักหลังเอย คู่แข่งขโมยไอเดียเอย และต้องฝ่าฟันให้สำเร็จโดยลำพังอะไรทำนองนี้จะอินมาก บทพระเอกโลกใหม่ที่ไม่ขายความเป็นนักบู๊และนักรักน่าจะเหมาะกับหมีชุนที่สุด อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะ ใครคิดเห็นยังไงก็เมนท์บอกกันได้

สรุปแล้วหนังเรื่องนี้อยากให้คนที่มีแนวความคิดชอบตั้งคำถามกับค่านิยมหรือกรอบประเพณีเดิมๆได้ลองดูกัน (อีพวกที่เป็นแฟนคลับรายการคิดเล่นเห็นต่างกับคำผกาและเคน-นครินทร์นี่สมควรดู) ดูแล้วน่าจะนำไปขบคิดอะไรต่อยอดได้ไม่มากก็น้อยอะนะ พวกพ่อบ้านใจกล้าจะชวนกวางน้อยมาดูด้วยก็น่าจะได้อรรถรสไปอีกแบบ ดูแล้วไปเถียงกันต่อว่าหน้าที่งานบ้านควรจะเป็นของใครหรือควรจะแบ่งๆกันทำตามความถนัดดี แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม Ki & Ka บอกให้เรารู้ว่าถ้าคนสองคนรักกันจริง เสียงนกเสียงกาจากสังคมรอบข้างก็ไม่มีทางทำให้หมดรักกันได้แน่นอน





Location: Bangkok, Thailand

0 comments:

Post a Comment

แสดงความเห็น แนะนำ ติชม เข้ามาได้ตามสะดวกนะ