คุณมีความฝันมั้ย? คุณเชื่อในความฝันของคุณแค่ไหน?
สองประโยคคำถามข้างต้นนี้ได้ยินเผินๆแล้วอาจจะรู้สึกเหมือนกำลังโดนชวนไปทำขายตรงยังไงชอบกลใช่มั้ยละ แต่บอกเลยว่าความฝันและความเชื่อคือแก่นของหนังเรื่องนี้ Natrang เป็นหนังภาษามารฐีเพียงแค่เรื่องเดียวที่เรามีโอกาสได้ดู ต้องขอขอบคุณเพื่อนติ่งอินเดียที่แนะนำไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ถ้าจะให้เราเล่าเนื้อเรื่องย่อแบบคร่าวๆตามประสาคนขี้เกียจแบบเราแล้วละก็ เราจะไล่ให้คุณไปเปิดเพลงความเชื่อ ของ Bodyslam ฟังเอาแทน เพราะเนื้อร้องทุกคำนั่นแหละคือใจความของหนังเรื่องนี้ล้วนๆเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าเราทำแบบนั้นจริงคงโดนด่าเปิดเปิงเป็นแน่แท้ เอาละ เราจะเล่าให้ฟังสั้นๆแล้วกัน
ปมปัญหาการถูกเหยียดหยามมากมายนี้มันค่อยๆบ่มเพาะให้เกิดการแตกหักกับทางครอบครัว มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากสำหรับชีวิตคนๆนึงที่จะต้องเลือกระหว่างครอบครัวและความฝัน จะต้องเลือกเอาไว้เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น เส้นทางความฝันของ Guna ไม่ง่ายเลย เรานึกถึงคำพูดที่บอกว่าชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่กับเส้นทางของเขาแล้วมันยิ่งกว่าเอาทั้งหนามแหลมคม ทั้งเศษแก้วแตกกระจกแตก รั้วลวดหนาม หรือแม้แต่หมามุ่ยมากองรวมกันตามทางให้เขาก้าวเดินซะอีก เราจะไม่ลงรายละเอียดนะว่าเขาจะต้องเจอชะตากกรรมอะไรบ้างเพราะมันจะเป็นการสปอยล์เกินไป บอกได้เพียงว่าสุดท้ายแล้ว Guna ก็ประสบความสำเร็จในเส้นทางความฝันของเขาได้ในที่สุด แต่สิ่งที่เขาต้องผ่านมาตามทางนั้นมันช่างโหดร้ายเกินใจจะอดทนจริงๆ
สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดใน Natrang ไม่ได้อยู่ที่ฝีไม้ลายมือการแสดงของใครเลยสักคน แน่นอนว่านักแสดงแต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ตามที่มันควรจะเป็น แต่บทหนังต่างหากที่สมควรได้รับความดีความชอบไปทั้งหมดเลย โอเคว่ามันอาจจะมีจุดรั่วบ้างเล็กน้อยที่ก็ไม่ใช่ประเด็นใหญ่อะไร แค่ทำให้เราเลิกคิ้วและร้องเอ๊ะออกมาเบาๆเท่านั้น ไม่ถึงกับขั้นหงุดหงิดว่าปล่อยผ่านมาได้ยังไงเนี่ย ส่วนเรื่องฉาก เสื้อผ้า หน้า ผม หรือของประกอบฉากต่างๆก็ทำได้ตามมาตรฐานแหละมั้ง ที่ต้องใช้คำว่า "แหละมั้ง" เป็นเพราะเราดูจาก YouTube ซึ่งภาพมันไม่คมชัดเท่าไหร่ เรียกว่าแอบเมื่อยตากันนิดนึง (แต่ก็ต้องทนเพราะเป็นช่องทางเดียวที่จะดูได้แบบมีซับอิงค์ ณ ตอนนั้น) ก็เลยเก็บรายละเอียดในเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยได้ว่าทำออกมาได้ดีหรือแย่ขนาดไหน แต่เท่าที่ดูก็รู้สึกว่ามันสะท้อนภาพชีวิตชนบทของรัฐ Maharashtra ได้ดีเลยนะ ดูเผินๆเหมือนดูหนังพีเรียดเลยด้วยซ้ำ เพราะมันดูไม่ค่อยเจริญเท่าไหร่ เหมือนไม่มีความเป็นเมืองในยุค 2010 ซึ่งเป็นปีที่หนังออกฉายเลย ดูแล้วนึกถึงยุคมนต์รักลูกทุ่งบ้านเราเลยอะ หน้าตาคนแสดงก็ไม่ได้สวยหล่อแบบพิมพ์ Bollywood นิยมเลย หลายคนถมึงทึง นางเอกก็สวยแบบย้อนยุค หน้าคล้ายพวกดาวโป๊ดาวยั่วบ้านเราสมัยน้าแอ๊ด-สมบัติชอบก๊ล พี่พระเอกตอนที่ยังเป็นกรรมกรมีหนวดก็ดูขึงขังน่าเกรงขามดี เรียกว่าเห็นแต่ภาพนิ่งคงคิดว่ากูกำลังดูบางระจันเวอร์ชั่นอินเดีย แต่พอโกนหนวดออกรับบทกะเทยปุ๊บ โฮ้โห หน้าเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย นั่งเพ่งตั้งนานเลยนะว่ามันคนเดียวกันรึเปล่าวะ เออ งั้นคงต้องชมไว้ตรงนี้แล้วแหละว่าแต่งหน้าได้ดี และชม Atul พระเอกด้วยที่ต้องลดน้ำหนักจากตอนเป็นกรรมกรบึ้กๆตอนแรกมาเป็นผู้ชายในไซส์กะเทย
อีกจุดนึงที่เราชอบมากก็คือฉากตอนที่ Guna กำลัง transform ตัวเองให้เป็นกะเทยน่ะ ตอนที่แต่งหน้าและแต่งองค์ทรงเครื่องในชุดกะเทยเป็นครั้งแรก เขานั่งหน้ากระจกแล้วสวมหมวกเป็นขั้นตอนสุดท้าย เป็นภาพที่ดูทรงพลังมาก รู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของศิลปะการแสดง รู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะตามความฝัน รู้สึกถึงความแน่วแน่ที่จะต้องรับบทกะเทยท่ามกลางเสียงคันค้านของครอบครัว ดนตรีที่ตัดมาประกอบก็ข่างเร่งเร้าสุดๆ ฉากนี้ดูแล้วซี้ดปากเลย
อยากฝาก Natrang เอาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วย ใครที่มีความฝันแต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างหรือยังไม่เริ่มลงมือทำเป็นชิ้นเป็นอัน ควรหามาดู ใครที่เริ่มลงมือกับความฝันแล้วแต่กำลังท้อกำลังเจอขวากหนาม ก็ยิ่งต้องหามาดู ดูชีวิตของ Guna เอาไว้ ดูแล้วสู้ให้สุดเส้นทางความฝันแบบเขา สู้ให้มันรู้ไปเลยว่าสุดท้ายแล้วเราจะตามไปคว้าความฝันมาได้มั้ย
... แม้ท้อแท้สักกี่ทียังมีหวัง
แม้พลาดพลั้งสักกี่ครั้งยังฝันไกล ...